CTRL+Future
4 อาวุธที่ ‘ประพันธ์ เจริญประวัติ’ บอกว่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องมี ถ้าอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์
1 ก.ย. 2568
The Futurist
คำว่า IPO หรือการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะชนครั้งแรกเพื่อที่จะมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดูจะเป็นความฝันของผู้ประกอบการหลายต่อหลายคน แต่จะมีสักกี่คนที่ไปถึงฝั่งฝันได้ เพราะกับคนทำธุรกิจตัวเล็กๆ ที่มีทุนอยู่ไม่เท่าไหร่ คำว่าตลาดหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์นั้นช่างดูไกลตัวเหลือเกิน
ประพันธ์ เจริญประวัติ ชายผู้ทำงานอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากว่า 20 ปี ในฐานะผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ MAI ยืนยันความคิดนั้น เขาบอกว่าในสมัยก่อน การเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เข้าใจยาก และมีค่าใช้จ่ายสูง ในปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์จึงพยายามตีซี้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่มากขึ้น ด้วยแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจและการเข้าสู่ตลาดแบบจัดเต็ม เพื่อให้หลายคนรู้ว่าการเข้าตลาดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
แล้วคนตัวเล็กๆ จะเติบโตกลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่ IPO ได้ยังไง ยิ่งในโลกที่เศรษฐกิจกำลังดิ่งดาวน์และผันผวนขนาดนี้ เรานั่งลงสนทนากับประพันธ์ แล้วสรุปออกมาได้เป็น 4 อาวุธที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ควรจะมี และถึงคุณจะไม่ได้ฝันไกลถึงขั้นเข้าตลาดได้ เราคิดว่า Toolkit เหล่านี้ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการอยู่ดีนะ

1. มีความรู้ (Knowledge)
ความรู้คือรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่างในการทำธุรกิจ
สิ่งแรกที่ต้องรู้แน่ๆ คือ Pain Point ของผู้บริโภคว่าพวกเขาต้องการอะไร เพื่อจะได้คิดสินค้าและบริการไปตอบโจทย์ตรงนั้นได้ สิ่งที่ต้องรู้ต่อมาคือตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีโอกาสในการขายของมากแค่ไหน มีช่องว่างให้เราทำสินค้าไปเติมเต็มได้หรือเปล่า
“ความรู้คือพลัง ถ้าเราไม่มีความรู้ เราก็ไม่สามารถคิดสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้” ประพันธ์ย้ำ แล้วแนะนำต่อว่า ในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน การมีความรู้ควรจะเป็นความรู้ที่ทั้ง ‘กว้าง’ และ ‘ลึก’ ก็อาจจะทำให้เราได้เปรียบคนอื่น
กว้าง หมายถึงรู้ให้ได้หลายเรื่อง ส่วนลึก หมายถึงเรียนรู้แต่ละเรื่องอย่างลงลึกนั่นเอง
2. ปรับตัวให้ทัน (Adaptation)
คนที่อยู่ต่างเจเนเรชั่น ต่างยุคสมัย ธรรมชาติของการทำธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ทุกวันนี้ โลกของเราเล็กลง ในความหมายคือเทคโนโลยีทำให้เราทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น และแน่นอนว่ามันส่งผลต่อการทำธุรกิจ
“จากเดิมที่เราต้องขายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าหรือห้าง ทุกวันนี้เราขายผ่านออนไลน์ได้ เพราะฉะนั้น คนที่มีไอเดียและสินค้าดีๆ เขาก็มีโอกาสที่จะเติบโต และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพียงแต่ทุกคนต้องปรับตัวแข่งกันเพื่อที่จะได้โอกาส”
ตามโลก ตามเทคโนโลยีให้ทัน นั่นคือการปรับตัวขั้นพื้นฐานที่ประพันธ์ย้ำว่าต้องมี
3. ล้มแล้วลุกให้เร็ว (Resilience)
นอกจากต้องปรับตัวแล้ว คนทำธุรกิจควรจะ ‘อึด’ พอที่จะก้าวข้ามทุกๆ ปัญหา ทุกๆ อุปสรรคไปได้
Resilience แปลเป็นไทยตรงตัวอาจหมายถึงยืดหยุ่น เป็นสกิลการล้มแล้วลุกยืนให้ได้เร็ว แต่ Resilience สำหรับคนทำธุรกิจคือการไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลว ถึงจะ failed สักกี่ครั้งก็พร้อมจะกอบกู้ธุรกิจให้กลับมาอีกครั้งเสมอ
สำหรับผู้ประกอบการที่ท้อกับปัญหา ประพันธ์แนะนำว่า “อาจต้องย้อนกลับไปดูวันแรกว่าทำไมถึงอยากทำธุรกิจนี้ ถามถึงจุดมุ่งหมาย (Purpose) ของตัวเองในการทำธุรกิจ วันนี้จุดมุ่งหมายนั้นยังอยู่ไหม ถ้ายังอยู่ก็ทำต่อไป สู้ต่อไป ถ้าเราไม่ท้อ ไม่หยุด โอกาสมันก็จะมาในอนาคต แต่ถ้าจุดมุ่งหมายมันไม่ใช่แล้ว เราก็เปลี่ยนได้”
4. พร้อมที่จะเติบโต (Ready to Grow)
วิสัยทัศน์ดี โมเดลธุรกิจดี และทัศนคติที่อยากเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เสมอ คือ 3 สิ่งสำคัญที่ประพันธ์บอกว่าจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่อยากเติบโต โดยเฉพาะคนที่อยากเติบโตไปจนถึงการเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
แต่สำหรับนักธุรกิจบางคน พวกเขาก็ไม่มีความรู้เพียงพอหรือเคยประเมินตัวเองว่าเหมาะสมกับการเข้าตลาดหลักทรัพย์แค่ไหน ทำให้บางคนตัดโอกาสที่จะฝันหรือลงมือทำไปเลย เพราะฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงมีตลาดกระดานที่ 3 อย่าง LiVE Exchange ที่เปิดรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้เข้ามารับการระดมทุนโดยไม่มีการตั้งกำไรขั้นต่ำของบริษัท แถมยังมี LiVE Platform และ LiVE Academy แพลตฟอร์มที่ให้ความรู้เบื้องต้นในการเข้าตลาดที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตไปถึงการเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
“ก่อนเข้าตลาด สิ่งที่ต้องมีคือโมเดลธุรกิจที่ดีและเติบโตได้ สองคือต้องมีระบบที่ดี มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สามคือตัวเจ้าของต้องมีวิสัยทัศน์ (Vision) ที่อยากจะไปต่อ” ประพันธ์ทิ้งท้าย
ใครอยากอ่านบทสนทนาของเรากับประพันธ์ละเอียดกว่านี้ ตามไปอ่านได้ที่คอลัมน์ FUTUREPROOF ตามลิงก์นี้เลย >> ทางรอดและโอกาสของธุรกิจ SMEs ในโลกที่ผันผวน คำแนะนำจาก ‘ประพันธ์ เจริญประวัติ’ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ MAI