CTRL+Future
3 เทคนิคสร้าง Global Mindset กับ ‘ดร.สันติธาร เสถียรไทย’
1 ก.ย. 2568
The Futurist
เพราะ “เมืองไทยเปลี่ยนช้าและโลกเปลี่ยนเร็ว” การมี Global Mindset จึงเป็นเรื่องสำคัญในสายตาของ ‘ดร.ต้นสน–สันติธาร เสถียรไทย’ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำธนาคารแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้าน Future Economy แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
“เวลาพูดถึงเศรษฐกิจไทย ผมชอบเปรียบเทียบว่าเมืองไทยเป็นเหมือนนักกีฬาสูงวัยที่ต่อให้หายป่วยก็วิ่งไม่ได้เร็วมากนัก เรามีความท้าทายเยอะ เราเข้าสู่สังคมสูงวัย แรงงานขาดแคลน เศรษฐกิจโตเฉลี่ยปีละไม่ถึง 3% น้อยกว่าประเทศรอบตัวเราพอสมควร ดังนั้นเราไม่สามารถเติบโตอยู่ในประเทศเพียงอย่างเดียว เราต้องมองออกไปข้างนอกด้วย ถ้าเป็นนักธุรกิจก็ต้องคิดถึงการเติบโตของตลาดและกลุ่มลูกค้า ส่วนคนทำงานที่อยากก้าวหน้าในอาชีพการงาน ถ้าอยากเป็นผู้จัดการดูแลตลาดระดับภูมิภาค ก็ต้องมองออกไปข้างนอกเท่านั้น
“มันมีประโยคหนึ่งที่ผมชอบ นั่นคือ The future is already here, but it's not here everywhere at the same time. อนาคตมาถึงแล้ว แต่มันไม่ได้มาถึงทุกที่พร้อมกัน ดังนั้นถ้าเรามีเลนส์ที่กว้างพอที่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในโลก ไม่ว่าจะในอเมริกา ยุโรป จีน หรือประเทศอาเซียนรอบๆ ตัวเรา เราจะได้เห็นว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้ว และอะไรที่อาจเกิดขึ้นในเมืองไทยเหมือนกัน ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกันเปี๊ยบ แต่มันจะมีความคล้องจองกันอยู่”
ดร.ต้นสนยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังว่า “ตอนที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ ออกจากธนาคาร Credit Suisse มาทำที่ Sea Limited (บริษัทแม่ของ Shopee) ถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลกำลังจะมาในประเทศไทย ถึงได้ย้ายไปทำงานบริษัทนั้นทั้งๆ ที่เขาเป็นเจ้าแรกๆ ผมรู้เพราะผมเห็นแล้วว่าในเมืองจีน Mobile Commerce เป็นเทรนด์ที่กำลังมา ก็เลยรู้ว่าเดี๋ยวมันจะมาในประเทศไทย การมี Global Mindset ทำให้เราพอจะบอกได้ เหมือนรู้อนาคต ซึ่งจริงๆ เราไม่รู้หรอก ถ้าเปรียบเป็นนักเรียนเตรียมสอบก็เหมือนคนที่เห็นข้อสอบเก่ามาก่อนเลยพอเดาได้ว่าคำถามและคำตอบจะมีอะไรบ้าง”
แล้วถ้าอยากจะพัฒนา Global Mindset ของตัวเอง ต้องทำอย่างไรบ้าง? ดร.ต้นสนสรุปมาให้แล้วว่า

1. มองทุกอย่างให้เป็นระดับโลก
– ในมุมของเจ้าของธุรกิจ คือการมองทั้งห่วงโซ่อุปทานและตลาดให้เป็นระดับโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เราจะสรรหาทรัพยากรที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตหรือทรัพยากรบุคคลก็ตาม มาจากที่ไหนในโลกได้บ้าง และเราจะนำเสนอสินค้าและบริการของเราให้ลูกค้าจากมุมไหนของโลกได้บ้าง
– ในมุมของบุคคลทั่วไป คือการมองว่า แทนที่จะจำกัดตัวเองไว้ที่ข้อมูลข่าวสารหรือคอร์สเรียนที่มีในประเทศไทย เราจะพัฒนาตัวเองด้วยทรัพยากรจากทั่วโลกได้อย่างไร และเราจะนำเสนอคุณค่าของตัวเองในระดับโลกได้อย่างไร ดร.ต้นสนยกตัวอย่างว่า ตัวเขาเองเวลาอยู่ในประเทศไทยจะเป็น Mr Global เพราะคนไทยอยากเรียนรู้เรื่องระดับโลก ในขณะที่เมื่อออกไประดับโลกก็จะเป็น Mr ASEAN เพราะคนข้างนอกอยากเรียนรู้ว่าอาเซียนเป็นอย่างไร
2. ติดกระดุม 3 เม็ด Humility – Curiosity – Empathy
มีกระดุมอยู่ 3 เม็ดที่จะช่วยให้เรามองทุกอย่างให้เป็นระดับโลกได้
– เม็ดที่ 1 Humility คือการยอมรับว่าตัวเองไม่รู้อะไรอีกมาก เช่น เราไม่รู้หรอกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะอเมริกา ยุโรป หรือจีน คิดอย่างไรกับ Trade War ของ Donald Trump
– เม็ดที่ 2 Curiosity หรือพูดง่ายๆ คือถ้าไม่รู้ก็ต้องอยากรู้ หัดสงสัย หัดตั้งคำถาม เช่น ไปหาข้อมูลว่าวัฒนธรรมบ้านเขาเป็นอย่างไร เขามีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร เขามีวิธีคิดอย่างไร
– เม็ดที่ 3 Empathy คือการเข้าใจคนอื่นผ่านมุมมองของเขา เอามุมมองของตัวเองออกจากศูนย์กลาง ไม่คิดว่ามุมมองของตัวเองคือมุมมองเดียวที่ถูกต้อง เช่น ถ้าไปคุยกับนักลงทุนสัญชาติจีน ก็ต้องเข้าใจว่าเขามองอาเซียนอย่างไร เพราะอะไร ที่เขามองว่าอาเซียนขยับช้า ไม่เด็ดขาด สบายๆ นั่นก็เพราะจีนขยับตัวเร็ว เด็ดขาดนั่นเอง
3. ลองไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ
ต่อให้เราเสพข้อมูลข่าวสารระดับโลกมาแค่ไหน ดร.ต้นสนบอกว่ามันก็ไม่อาจเทียบเท่าการพาตัวเองไปเปิดหูเปิดตาในต่างประเทศจริงๆ ได้เลย โดยเขาเน้นว่าไม่ใช่แค่การไปท่องเที่ยว แต่ต้องลองไปอยู่ ไปทำความเข้าใจ ทำตัวให้กลมกลืนกับคนท้องถิ่นที่นั่นจริงๆ
“การไปอยู่ในประเทศที่เราไม่มี Birth Right ไม่ได้เกิดมาแล้วมีสิทธิอยู่ในประเทศนั้นๆ โดยอัตโนมัติ มันจะช็อกระบบความคิดของเรา ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ต้องหาจุดแข็งของตัวเอง ต้องสร้างเน็ตเวิร์กต่างๆ ขึ้นมาใหม่เพราะไม่มีเพื่อนหรือญาติอยู่ที่นั่น การได้ไปเห็นวัฒนธรรมเขาแล้วพยายามจะเป็นคนโลคัลอีกคนหนึ่ง มันเปิดหูเปิดตามากๆ และจะช่วยให้เราพัฒนา Global Mindset ของเราได้ครับ”
และนี่ก็คือ 3 เทคนิคการสร้าง Global Mindset จากดร.ต้นสน ใครเคยลองทำข้อไหน ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร แชร์บอกกันในคอมเมนต์ได้เลย