รู้จักไว้...ก่อนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง — ‘AI Literacy’ ไม่ใช่แค่สกิลเฉพาะทาง แต่คือทักษะเอาชีวิตรอดของคนทำงานยุคใหม่ 

ถ้าคุณคิดว่า AI เป็นเรื่องของ Developer, Data Scientist หรือคนสายเทคโนโลยีเท่านั้น... บอกเลยว่า โลกหมุนไวเกินกว่าจะคิดแบบนั้นต่อไปได้แล้ว  

ผลการศึกษาล่าสุดของ Gallup: 

93% ของ CHRO (Chief Human Resources Officer) ในบริษัทกลุ่ม Fortune 500 ระบุว่า องค์กรของตนเริ่มใช้เครื่องมือและเทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาการดำเนินธุรกิจแล้ว 

แต่พนักงานส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้ถึงสถานการณ์เหล่านี้... มีเพียง 33% ของพนักงานในสหรัฐฯ ที่บอกว่าองค์กรของตนเริ่มปรับใช้ AI ในกระบวนการดำเนินงาน 

AI ไม่ได้อยู่แค่ในแล็บ แต่มันอยู่ในชีวิตการทำงานจริงของคุณ — ตั้งแต่การค้นหาเส้นทาง สรุปประชุม ร่างอีเมล วางแผนแคมเปญ จนถึงการออกแบบ Dashboard สวย ๆ  

ผลลัพธ์ที่น่าพอใจจากการใช้ AI ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะเครื่องมือดี — แต่มาจากทักษะของผู้ใช้งานเอง — ทักษะที่เราเรียกว่า AI Literacy  

Survival Skill = AI Literacy 

ทักษะที่มากกว่าแค่ “เปิดแอปได้” แต่ต้อง “ใช้งานได้ลึกจริง” 

AI Literacy คือ การเข้าใจว่า... 

AI ทำอะไรได้ และยังทำอะไรไม่ได้ 

ตั้งโจทย์ (Prompt) อย่างไรให้ได้คำตอบที่ใช้ได้จริง 

ตีความ-แยกแยะคำตอบอย่างไร ไม่ใช่ “เชื่อทั้งหมด” ที่ AI บอก 

ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ ปลอดภัย และไม่ละเมิดจริยธรรม 

มันไม่ใช่ทักษะเฉพาะของสายไอที ไม่ต้องเขียนโค้ด ไม่ต้องเทรนโมเดล แต่คุณต้อง "สื่อสารกับ AI อย่างเป็นระบบ" และ "ใช้มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคิด" 

เปรียบเทียบชัด ๆ: คนที่มี vs คนไม่มี AI Literacy 

ตัวอย่างคนทำงานที่มี AI Literacy 

ใช้ ChatGPT เขียนแผนกลยุทธ์ 3 หน้าใน 10 นาที 

ใช้ Gemini วิเคราะห์รายงานลูกค้า พร้อมมุมมองเชิงลึกที่ทีมคิดไม่ทัน 

ใช้ Copilot ช่วยสร้าง Excel Dashboard ทั้งชุด 

ใช้ Claude อ่านรายงาน 100 หน้า แล้วอธิบายเป็นภาษาง่ายภายใน 3 นาที 

ทั้งหมดนี้… ไม่ต้องเขียนโค้ดสักบรรทัด แต่ทุกการสั่งงานคือการ “คุยกับ AI อย่างชาญฉลาด” 

จาก “สกิลเสริม” สู่ “มาตรฐานใหม่ของทุกตำแหน่งงาน” 

ปี 2566: AI Literacy เป็นเพียงข้อได้เปรียบ 

ปี 2568: มันกลายเป็น “สิ่งที่องค์กรคาดหวัง” 

ตัวอย่างจริงจากตลาดงาน 

Gartner คาดการณ์ว่า “ภายในปี 2569 พนักงานกว่า 80% ต้องใช้ AI Tools อย่างน้อย 1 รูปแบบในงานประจำ” 

แล้วทำไมองค์กรถึงแคร์ขนาดนี้? 

เพราะในวันที่ “ทุกคนเปิดใช้ AI ได้เหมือนกัน” สิ่งที่ต่างกันคือ “ใครใช้มันได้อย่างชาญฉลาดและสร้างผลลัพธ์ได้มากกว่ากัน”  จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นว่า AI Literacy กลายเป็นตัววัด "คุณค่าที่แท้จริง" ของพนักงานในยุคใหม่ 

ตัวอย่างการใช้งาน AI Literacy ในสายงานต่าง ๆ 

🔹 สายคอนเทนต์: ใช้ AI ช่วยคิดโพสต์ วางแผนแคมเปญ ทำ A/B Test ➡️ ได้ไอเดียเร็ว + ทดสอบได้ไว เทียบเท่าเอเจนซีชั้นนำ 

🔹 สายวิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ AI อ่านรายงาน Excel สรุป Insight จาก PDF ➡️ เข้าถึงข้อมูลเร็ว ไม่ต้องเป็น Data Scientist ก็ทำได้ 

🔹 สายบริหาร / Project Manager: ใช้ AI ร่าง Product Requirements Document (PRD) กำหนดกรอบเวลาการทำงาน สื่อสารแผนกับทีม ➡️ มีเวลาโฟกัสกับกลยุทธ์หรืองานที่สำคัญมากขึ้น 

อย่าลืมว่า AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ “ผู้วิเศษ” 

AI ตอบในสิ่งที่คุณ “ถาม” 

ถ้าคำถามไม่ชัด — คำตอบที่ได้อาจหลงทาง 

ถ้าคุณเชื่อหมดโดยไม่คิด — คุณอาจตัดสินใจผิดพลาดได้ (เพราะ AI ไม่ได้รู้จริงทุกเรื่อง) 

ถ้าอยากเริ่มมี AI Literacy วันนี้: 

เริ่มใช้ AI เช่น ChatGPT, Gemini, Copilot กับงานประจำที่ทำ 

ตั้งคำถามแบบมีบริบท ไม่ใช่แค่ “ช่วยหน่อย” หรือ “คืออะไร” 

วิเคราะห์ผลลัพธ์: อะไรควรเชื่อ อะไรควรถามใหม่ แล้วประเด็นไหนควรขยี้ต่อ 

เรียนรู้จาก AI แต่อย่าปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทนทั้งหมด 

สรุป: "Code ไม่ได้ก็ช่างมัน — แค่คุณพูดกับ AI เป็น โลกนี้ก็ฟังคุณแล้ว"  

ทุกวันนี้องค์กรธุรกิจไม่ได้เลือกแค่ “คนรู้เยอะ” — แต่พวกเขากำลังมองหาคนที่ “รู้ทัน” และ “ใช้เป็น” ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีถึงจะเป็น “คนที่ต้องการในตลาดงานยุคใหม่”  แค่คุณใช้ AI ได้แบบมืออาชีพ = คุณกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่องค์กรชั้นนำต้องการทันที